การเดินทางกลับไทยช่วงโควิดจากมาเลเซีย(ทางบก)

0
ริวิวการเดินทางกลับไทยช่วงโควิดจากมาเลเซีย โดยผ่านประสบการณ์ของตัวเองโดยตรง


  
ยิ่งนับวันสถานการณ์การระบาดของโรคร้ายโควิดต่างก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกวันถึงแม้ว่าทางภาครัฐจะออกมาตราการต่างๆแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้นเท่าที่ควร

การตัดสินใจกลับประเทศไทยในครั้งนี้เนื่องจากต้องการกลับไปทำตามความเป้าและเส้นทางที่ได้วางไว้ถึงแม้ว่าจะมีเพื่อนๆและหลายๆคนต่างก็คอยเป็นห่วงในการตัดสินใจของเราเพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยนิ่งและซุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก คนตกงานและคนว่างงานค่อนข้างมาก (ขอขอบคุณทุกคนในความเป็นห่วง)
ในเมื่อได้ตัดสินใจทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจแล้ว สิ่งแรกเลยที่ทำคือส่งอีเมล์แจ้งต่อทางเอเจนซี่ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 2 เดือน

ช่วงระหว่างนี้ผมก็คอยวางแผน ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางกลับประเทศไทยไปด้วยเพื่อให้ง่ายดายในเรื่องการจัดเตรียมเอกสาร

3 สัปดาห์ผ่านไปทางเอเจนซี่ก็ได้ตอบอีเมล์กับมาว่า Acknowledge และก็เข้าสู่ขั้นตอนที่ทางเอเจนซี่กับทางบริษัทที่ต้องคอยประสานงานกัน (เราได้แค่รอ)

รอแล้วรออีก เราก็รู้สึกว่าเอ๊ะ มันเงียบๆไปนะ ก็เลยส่งอีเมล์ย้ำไปทางเอเจนซี่โดยที่ cc อีเมล์ของผู้จัดการเข้าไปด้วย
 
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงของวันนั้นทางเอเจนซี่ได้ตอบกลับอีเมล์มาในทันทีว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินการ แล้วจะแจ้งให้ทราบโดยเร็ว

ยิ่งใกล้วันที่เราจะเดินทางกลับเราก็ยิ่งตามทวงตามจี้อยู่ตลอดเวลา บอกเลยว่าเหนื่อยครับกับเอเจนซี่นี้ เกือบวันสุดท้ายกว่าเราจะได้เอกสารจากทางเอเจนซี่ (เอเจนซี่จะจัดการเอกสารทุกอย่างให้เรา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือลาออก เอกสารที่ต้องเคลียร์ภาษีต่างๆ และอื่นๆ )

หลังจากที่ได้เอกสารทุกอย่างจากเอเจนซี่แล้ว ผมก็ได้เข้าไปที่เว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอลงทะเบียนเดินทางเข้าประเทศไทยทางบก https://dcaregistration.mfa.go.th/ ขั้นตอนนี้หลังจากกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะต้องรอ 1-2 วัน เพื่อให้ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบและอนุมัติ

ถัดไปก็เป็นขั้นตอนการจองรถ ผมเข้าไปที่เว็บไซต์ของทาง TBS https://dcaregistration.mfa.go.th/ เพื่อทำการจองตั๋วรถบัสออนไลน์
 
โดยที่ปลายทางของผมคือด่านสะเดา แต่จากการหาข้อมูลมาเบื้องต้นได้ทราบว่าไม่มีรถบัสมุ่งหน้าตรงไปยังด่านสะเดาเลย ต้องไปลงที่สถานี Changlun Bus Station แล้วต่อ Taxi หรือไม่ก็ Grab ไปยังด่านขาออกของทางมาเลเซีย

เมื่อขั้นตอนต่างๆ เสร็จสิ้นเรียบร้อย สิ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือการขอเดินทางข้ามรัฐจากสถานีตำรวจใกล้บ้านที่ท่านพักอยู่
 
Balai Polis Bangsar คือสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้กับที่พำนักของผม
เอกสารที่จะต้องเตรียมไปนั้นมีดังนี้ (อันนี้จากประสบการณ์ของผมที่ผมพบเจอมา)

1. หนังสือ surat merentas negeri pkp สามารถเข้าไปดาวน์โหลดออนไลน์ได้ https://harianpost.my/borang-permit-pergerakan-pkp/
2. พาสปอร์ต/วีซ่า ตัวจริง พร้อมกับถ่ายเอกสาร อย่างละ 2 ชุด
3. ตั๋วรถบัส
4. แบบฟอร์มการลงทะเบียนกลับไทย
5. เอกสารการลาออกจากบริษัท (ถ้ากรณีอื่นเอกสารก็จะแตกต่างกันออกไป)
ขั้นตอนการขอเอกสารข้ามรัฐที่สถานีตำรวจใช้เวลาไม่นานประมาณ 10-15 นาที ทางตำรวจจะถามข้อมูลเบื้องต้นว่าทำไมถึงกลับ อยู่ที่นี้มากี่ปีแล้ว ทำงานอะไรที่นี้ และถามว่าจะเดินทางออกจากที่พักกี่โมงเพื่อไปสถานีรถบัสและไปอย่างไร หลังจากนั้นเขาก็เซ็นให้เป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย
จัดกระเป๋ารอเดินทางได้เลยยย

-----------------------------------------------------------------------------------
หลังจากที่จัดการกับเอกสารเสร็จสรรพ วันที่เดินทางกลับประเทศไทยก็มาถึง
ค่ำวันที่ 27 ของวันอาทิตย์เวลา 23.25น. คือเวลาที่รถบัสออกจากสถานี TBS
 
3 ทุ่มตรงผมได้ตัดสินใจออกจากที่พักในทันทีเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถบัส เนื่องจากว่า 4 ทุ่ม เป็นเวลาการประกาศเคาร์ฟิว ผมเลยกังวลเป็นพิเศษ กังวลว่าจะไม่มีรถด้วยซ้ำ


 เมื่อมาถึงหน้าเกทของที่พักไม่ถึง 5 นาที (บรรยากาศค่อนข้างเงียบมาก) ผมได้ทำการจอง Grab ปรากฏว่า(อัลฮัมดูลิ้ลละฮ) ดีใจมากๆ ไม่ถึง 10 วินาที Grab ได้ทำการรับเลย Grab มาส่งผู้โดยสารในคอนโดพอดี

เมื่อขึ้นไปบนรถ ถนนโล่งมากๆ แทบจะไม่มีรถเลยด้วยซ้ำ คนขับก็ถามว่าจะไปไหน และบัสออกกี่โมง

ผมบอกว่า ไป TBS จะเดินทางกลับไทย รถบัสออก 23.25น.
และผมก็บอกเขาว่าที่ออกมาเร็วเพราะกลัวว่าจะไม่มีรถ
เขาก็บอกว่า ดีแล้วที่ออกมาก่อนเพราะรถไม่ค่อยมี

เมื่อไปถึงสถานีบัส TBS ได้พบเจอกับความโล่งมากๆ แทบจะไม่มีผู้คนเลย เงียบมากๆ ผมนั่งรออยู่ที่สถานีรถบัสเป็นชั่วโมงๆเลย

ครึ่งชั่วโมงก่อนที่รถบัสจะออก ผมได้เดินไปที่เคาน์เตอร์ที่ขายตั๋วเพื่อทำการแจ้งการเดินทาง
พนักงานก็จะขอพาสปอร์ตและใบข้ามรัฐที่ได้จากสถานีตำรวจ
พี่พนักงานได้แจ้งผมว่า รถที่ผมได้จองในแอพไว้นั้นได้ยกเลิกการเดินทาง

เอาแล้ว!!! งานงอก (แอบคิดในใจ)
พนักงานก็บอกอีกว่า ไม่ต้องกังวลอะไร ยังมีรถบัสบริษัทอื่นๆที่ยังให้บริการอยู่ โดยที่ทางเราจะทำการจองให้คุณใหม่ในทันทีโดยอาจจะต้องจ่ายค่าส่วนต่างเพิ่มเติมในกรณีที่ตั๋วรถบัสที่จองใหม่นั้นมีราคาแพงกว่าของเดิม
 
สรุปคือ สบายใจขึ้น แต่ต้องจ่ายค่าส่วนต่างไปประมาณ 10 ริงกิตเท่านั้น
 
อ้อลืมบอก รถบัสที่จองกลับไทยนั้นไปลงที่สถานี Changlun ในรัฐ Kedah ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองมากนัก
 
เมื่อรถบัสมาถึง ผมก็ได้เดินขึ้นไปบนรถแล้วมองหาที่นั่งตามตั๋วที่ได้มา
5A คือที่เลขที่นั่งที่ทางพนักงานได้จองไว้ให้ผม
 
ผมก็เริ่มเดินมองหาที่นั่ง 5A อยู่พักสัก ผมก็ได้ถามคนบนรถ เขาก็ชี้ไปข้างหน้าซึ่งตรงนั้นมีชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งอยุ่ก่อนหน้าแล้ว
 

ผมเลยบอกเขาว่า ขอโทษนะครับอันนี้ที่นั่งของผม ผมได้จองไว้พร้อมกับนำตั๋วให้เขาดู
เขาก็บอกว่าของเขาก็ 5A เหมือนกัน
 
ผมก็เลยลงไปบอกกับคนขับรถด้านล่าง หลังจากนั้นเขาก็ให้ผมนั่งอีกที่หนึ่ง
อยากบอกว่า ณ วันนั้นผู้โดยสารที่อยู่ไม่รถไม่ถึง 10 คน เงียบเหงา คนน้อยมากๆ
 
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เสียงเครื่องยนต์รถบัสก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปิดประตูของคนขับรถ เป็นสัญญาณว่าได้เวลาพักผ่อนยาวๆแล้วในค่ำคืนนี้

7 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เสียงประกาศจากคนขับบอกว่า Changlun Changlun นั้นคือปลายทางที่ผมจะลง
เมื่อถึงสถานี Changlun ในกระเป่าซึ่งมีขนมอยู่ ผมก็นำออกมาเป็นอาหารเช้า นั่งกินไปพร้อมๆ กับแมวเจ้าถิ่นหลายตัว เพราะกว่าด่านจะเปิดอีกหลายชั่วโมง (ด่านเปิด 9 โมงเช้า)
 
ผมก็นั่งกินขนมและนั่งเล่นเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ ประมาณ 8.20น. ผมก็ลองเช็ครถดูว่าแถวนั้นมี Grab ให้บริการหรือเปล่า ปรากฏว่ามี ผมก็เลยจองทันที (จากที่ไปอ่านรีวิวมาจากเพจอื่นๆ เขาบอกว่าให้นั่งแท็กซี่ไป)
 
Changlun Bus Station ไปยัง Bukit Kaya Hitam Inmigration ระยะทางอยู่ที่ประมาณ 10 กิโลเมตร ค่า Grab จะถูกกว่าค่าแท็กซี่เยอะมาก ผมแนะนำให้ใช้ Grab ครับ (ลืมแล้วว่าจ่ายไปเท่าไหร่ แต่ไม่ถึง 10 ริงครับ)
 
เมื่อไปถึงที่ด่านขาออกของมาเลก็ได้ไปพบกับคนไทยบางส่วนที่ได้ไปนั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว
 
ในระหว่างรอด่านเปิด จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยบริการแจกน้ำดื่ม

เมื่อถึงเวลา 9 โมงเช้า ด่านเปิด เจ้าหน้าที่ก็จะให้ทยอยเดินเข้าไปยังด่านเพื่อรอจ๊อบพาสปอร์ต และก่อนจ๊อบพาสปอร์ตก็จะมีการตรวจสอบกระเป่าเพื่อดูสิ่งผิดกฏหมาย หลังจากนั้นก็ต่อแถวจ็อบพาสปอร์ตเพื่อออกนอกประเทศมาเลเซีย

เมื่อจ็อบพาสปอร์ตเสร็จถึงเวลาที่ต้องเสียเหงื่อ บอกเลยว่าเหนื่อยมากๆ นั้นก็คือการเดินลากกระเป๋าขึ้นเขาเพื่อเดินข้ามไปยังฝั่งไทย (ถึงแม้ว่าระะยทางจะไม่ถึง 1 กิโล แต่ถ้ากระเป๋าสัมภาระที่นำไปค่อนข้างหนักและเยอะ บอกเลยคำเดี่ยวว่า เหนื่อยมากกกกก)
 
เมื่อเดินทางถึงฝั่งไทยแล้ว ก็ต้องนั่งพัก/รอตรวจสอบเอกสารต่างๆ และรอเข้าสถาที่กักตัวต่อไป..
ปล. ไม่แนะนำให้นำสัมภาระไปเยอะ นำไปเท่าที่สะดวก ที่เหลือแนะนำส่งไปรษณีย์กลับไปก่อน



Tags:

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น (0)